แชร์

7+ เคล็ดลับ ถนอมแบตเตอรี่มือถือ/แกดเจ็ตคู่ใจ ให้อยู่กับเราไปนานๆ

อัพเดทล่าสุด: 21 พ.ค. 2025
174 ผู้เข้าชม

ทำไมแบตมือถือหมดเร็วจัง! เพิ่งชาร์จเต็มเมื่อเช้านี้เอง" "โน้ตบุ๊กใช้ได้ไม่กี่ชั่วโมง แบตก็แดงอีกแล้ว" เสียงบ่นเหล่านี้ เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, โน้ตบุ๊ก, หรือแม้แต่สมาร์ทวอทช์ ต้องเคยเจอหรือกำลังเจอกันอยู่แน่ๆ ใช่ไหมครับ?

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) ที่อยู่ในแกดเจ็ตคู่ใจของเรา มันก็มี "อายุขัย" และ "พฤติกรรมการใช้งาน" ของเรานี่แหละครับ ที่ส่งผลโดยตรงว่ามันจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน จะเสื่อมเร็วหรือเสื่อมช้า ในฐานะ คนที่คลุกคลีกับอุปกรณ์เหล่านี้ และเข้าใจหลักการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างดี วันนี้เราจะมาแชร์ 7+ เคล็ดลับ "ถนอมแบตเตอรี่" แบบง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกัน ที่จะช่วยยืดอายุแบตฯ ให้อึด! ทน! และอยู่กับเราไปได้นานที่สุด ด้วยข้อมูลที่ น่าเชื่อถือ และทำตามได้จริงครับ!

เข้าใจ "นิสัย" แบตเตอรี่ลิเธียมกันก่อน

ก่อนจะไปดูวิธีถนอม มาทำความรู้จัก "นิสัย" ของแบตฯ ลิเธียมที่เราใช้กันอยู่ทุกวันคร่าวๆ ก่อนครับ:

ไม่ชอบ "หมดเกลี้ยง" (0%) บ่อยๆ: การปล่อยให้แบตหมดสนิทบ่อยๆ ทำให้เซลล์แบตเตอรี่ "เครียด" และเสื่อมเร็วขึ้น
ไม่ชอบ "เต็มค้าง" (100% ตลอดเวลา) นานเกินไป: การเสียบชาร์จทิ้งไว้ที่ 100% เป็นเวลานานๆ (เช่น ชาร์จข้ามคืนทุกวัน) ก็ทำให้แบตฯ "เครียด" และร้อนได้เหมือนกัน
ไม่ชอบ "ความร้อนจัด": ความร้อนคือศัตรูตัวร้ายอันดับหนึ่งของแบตเตอรี่ลิเธียม ทำให้เสื่อมสภาพเร็วมาก!
มี "รอบการชาร์จ" (Charge Cycles): แบตเตอรี่ทุกก้อนมีจำนวนรอบการชาร์จที่จำกัด (เช่น 500-1000 รอบ) เมื่อใช้ครบตามนั้น ประสิทธิภาพก็จะเริ่มลดลง (แต่ไม่ได้แปลว่าใช้ไม่ได้เลยนะ แค่เก็บไฟได้น้อยลง)

7+ เคล็ดลับ "ถนอมแบต" สุดที่รัก ให้อยู่กับเราไปนานๆ (ทำตามนี้...แบตอึดขึ้นจริง!)

1.อย่าปล่อยให้ "หมดเกลี้ยง" (0%) หรือ "ชาร์จเต็มค้าง" (100%) บ่อยๆ

หลักการ "สุขสันต์" ของแบตฯ: ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้พยายามรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วง 20% - 80% หรืออย่างน้อยๆ ก็ อย่าต่ำกว่า 20% และอย่าชาร์จเต็ม 100% ทิ้งไว้นานเกินไป ถ้าไม่จำเป็น

ทำยังไงดี?:
เห็นแบตเหลือประมาณ 20-30% ก็เริ่มชาร์จได้แล้ว ไม่ต้องรอให้แดงเถือก
ชาร์จถึงประมาณ 80-90% ก็ถอดสายได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เต็ม 100% ทุกครั้ง (ยกเว้นนานๆ ที หรือวันไหนที่รู้ว่าต้องใช้ยาวๆ จริงๆ)
มือถือ/โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆ ฉลาดนะ! มักจะมีฟีเจอร์ "ชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่" ที่จะชะลอการชาร์จช่วง 80-100% ให้เต็มพอดีตอนเราตื่น (ถ้าเราชาร์จข้ามคืน) ลองเปิดใช้งานดูครับ

2. "หัวชาร์จ" และ "สายชาร์จ" ต้อง "มีคุณภาพ" และ "เหมาะสม"

ของแท้ หรือ แบรนด์ที่ได้มาตรฐาน: การใช้หัวชาร์จและสายชาร์จของแท้จากผู้ผลิตอุปกรณ์ หรือจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน (เช่น มี มอก. สำหรับหัวชาร์จในไทย, MFi Certified สำหรับสาย iPhone) จะช่วยให้การจ่ายไฟมีความเสถียรและปลอดภัยต่อแบตเตอรี่

วัตต์ (W) ไม่ต้องสูงเว่อร์เสมอไป: ถ้ามือถือเรารับได้ 25W การใช้หัวชาร์จ 25W ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้หัว 65W หรือ 100W มาชาร์จตลอดเวลา (แม้เครื่องจะดึงไฟเท่าที่รับไหว แต่การใช้ W ที่พอดีๆ ก็ช่วยลดความเครียดให้วงจรชาร์จได้บ้าง)

คำเตือน: หลีกเลี่ยงหัวชาร์จ/สายชาร์จราคาถูกมากๆ ที่ไม่มีแบรนด์ หรือดูไม่ได้มาตรฐานเด็ดขาด! เสี่ยงทำแบตพัง หรืออันตราย!

3. "ความร้อน" คือศัตรูตัวฉกาจ!

อย่าชาร์จไป เล่นไป (โดยเฉพาะเกมหนักๆ): การทำแบบนี้เครื่องจะร้อนจัด! แบตฯ ก็ร้อน! ทำให้แบตเสื่อมเร็วสุดๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ พยายามใช้ในห้องแอร์ หรือมีพัดลมเป่าช่วย

อย่าทิ้งไว้ในที่ร้อนจัด: เช่น ในรถที่จอดตากแดด, วางบนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นที่ร้อน, หรือโดนแดดส่องโดยตรง

ถอดเคสบ้างตอนชาร์จ: ถ้าเคสมือถือ/แท็บเล็ตของคุณหนามาก หรือระบายความร้อนไม่ดี การถอดเคสออกตอนชาร์จ ก็ช่วยลดความร้อนสะสมได้

4."ปิด" ฟังก์ชันที่ไม่จำเป็น เมื่อไม่ได้ใช้ 

Wi-Fi, Bluetooth, GPS, NFC ถ้าไม่ได้ใช้ก็ปิดไปก่อน ช่วยประหยัดแบตฯ ได้เยอะ ทำให้ไม่ต้องชาร์จบ่อยๆ ลดจำนวนรอบการชาร์จไปในตัว

ลดความสว่างหน้าจอลง หรือตั้งให้ปรับความสว่างอัตโนมัติ

5. อัปเดต "ซอฟต์แวร์" ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ

ทั้งระบบปฏิบัติการ (iOS, Android, Windows, macOS) และแอปพลิเคชันต่างๆ ผู้พัฒนามักจะมีการปรับปรุงเรื่อง "การจัดการพลังงาน" ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ การอัปเดตจะช่วยให้เครื่องกินแบตน้อยลง และอาจมีฟีเจอร์ถนอมแบตฯ ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา

6.. อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ "แห้งสนิท" เป็นเวลานานๆ 

ถ้าคุณมีอุปกรณ์เก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว หรือจะเก็บไว้เฉยๆ อย่าปล่อยให้แบตมันหมดเกลี้ยงจน 0% แล้วทิ้งไว้นานเป็นเดือนๆ นะครับ แบตเตอรี่ลิเธียมถ้าถูกคายประจุจนหมดสนิทและทิ้งไว้นาน อาจจะ "ตาย" ไปเลย คือชาร์จไม่เข้าอีกต่อไป

ทำยังไง?: ควรชาร์จให้มีไฟอยู่บ้าง (เช่น 40-50%) ก่อนจะเก็บไว้นานๆ และทุกๆ 2-3 เดือน ก็หยิบมาชาร์จกระตุ้นบ้างเล็กน้อย

7.เข้าใจ "รอบการชาร์จ" (Charge Cycles) 

แบตเตอรี่ลิเธียมมีอายุการใช้งานนับเป็น "รอบ" (เช่น ชาร์จจาก 0-100% นับเป็น 1 รอบ / ชาร์จจาก 50-100% 2 ครั้ง ก็นับเป็น 1 รอบโดยประมาณ) เมื่อครบจำนวนรอบที่ออกแบบไว้ (เช่น 500-1000 รอบ) ความจุแบตฯ ก็จะเริ่มลดลง

เรายืดอายุ "รอบ" ได้: ด้วยการทำตามข้อ 1-6 นั่นแหละครับ คือไม่ปล่อยให้แบตเครียดบ่อยๆ มันก็จะเสื่อมช้าลง ใช้ได้หลายรอบมากขึ้น

8.(โบนัส) "รีสตาร์ท" เครื่องบ้างเป็นครั้งคราว 

การรีสตาร์ทมือถือ/แท็บเล็ต/โน้ตบุ๊กบ้าง (เช่น สัปดาห์ละครั้ง) ช่วยเคลียร์หน่วยความจำชั่วคราว และทำให้ระบบโดยรวมทำงานได้ราบรื่นขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการจัดการพลังงานเล็กน้อย

บทสรุป: ดูแล "หัวใจ" ของแกดเจ็ต...ใช้งานได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนแบตบ่อย!

แบตเตอรี่ก็เหมือนหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเรานะครับ ถ้าเราดูแลดีๆ มันก็จะอยู่กับเราไปได้นานๆ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชาร์จและการใช้งานเพียงเล็กน้อยตามเคล็ดลับเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาระดับแบตฯ ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม, การใช้อุปกรณ์ชาร์จที่มีคุณภาพ, การหลีกเลี่ยงความร้อน, และการอัปเดตซอฟต์แวร์  ก็สามารถช่วย "ยืดอายุ" แบตเตอรี่สุดที่รักของคุณให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพไปอีกนาน ลดปัญหาแบตเสื่อมไว และประหยัดเงินค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ในระยะยาวได้แน่นอนครับ!


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ