โทรศัพท์ชาร์จเข้าแต่แบตไม่เพิ่มเพราะอะไร
กำลังเล่นเกมมันส์ๆ, ดูซีรีส์ติดพัน, หรือต้องรีบออกไปทำธุระสำคัญ แต่พอหยิบมือถือ (ไม่ว่าจะเป็น Android หรือ iPhone) มาเสียบสายชาร์จ...เงียบกริบ! ไฟไม่ขึ้น! หรือขึ้นว่าชาร์จแต่เปอร์เซ็นต์แบตไม่ขยับเลย! เชื่อว่า แบบนี้ทำเอาใจหายใจคว่ำ เหงื่อตกกันมานักต่อนักแล้วใช่ไหมครับ? "เครื่องฉันจะพังไหมเนี่ย?" "ต้องเสียเงินซ่อมแพงอีกหรือเปล่า?"
ใจเย็นๆ ก่อนครับ! ในฐานะ คนที่คลุกคลีกับปัญหามือถือร้อยแปด ขอบอกเลยว่าอาการ "ชาร์จไม่เข้า" ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุง่ายๆ ที่เราอาจจะมองข้ามไป และหลายครั้งก็ แก้ได้เองที่บ้าน! บทความนี้จะมาเป็น "หมอมือถือจำเป็น" พาคุณไล่เช็คทีละจุดแบบง่ายๆ สบายๆ สไตล์เพื่อนคุยกัน ให้คุณลองกู้ชีพมือถือสุดรักด้วยตัวเองดูก่อน ก่อนจะต้องเสียเงินเข้าร้านซ่อม รับรองว่าข้อมูล เชื่อถือได้ และทำตามได้จริงครับ!
"ผู้ต้องสงสัย" หลักๆ (ทำไมมันถึงชาร์จไม่เข้าล่ะเนี่ย?)
ก่อนจะลงมือ "ผ่าตัด" (ไม่ต้องขนาดนั้น!) มาดูก่อนว่าใครน่าจะเป็นตัวการ:
สายชาร์จ (The Cable): จำเลยเบอร์ 1 ตลอดกาล! อาจจะเก่า, ขาดใน (มองข้างนอกไม่เห็น), เป็นของปลอม, หรือหัวต่อสกปรก
หัวชาร์จ (The Adapter / Charger Brick): อาจจะเสีย, จ่ายไฟไม่พอ, หรือเป็นของที่ไม่ได้มาตรฐาน
รูชาร์จที่ตัวมือถือ (Charging Port): ฝุ่นอุดตัน, ขนจากกระเป๋าเข้าไปติด, หรือ (แย่หน่อย) รูหลวม/พัง
ปลั๊กไฟ / แหล่งจ่ายไฟ: ปลั๊กผนังหลวม? ช่อง USB ที่คอมฯ ไฟไม่พอ?
ซอฟต์แวร์มือถือรวน (Software Glitch): บางทีเครื่องมันก็แค่ "เอ๋อ" ชั่วคราว
เครื่องร้อน/เย็นเกินไป (Temperature Issues): ระบบป้องกันของมือถือตัดการชาร์จ
(พบน้อยกว่า แต่ก็เป็นได้) แบตเตอรี่เสื่อม: ถ้าใช้มานานมากๆ
(ร้ายแรงสุด ถ้าไม่เคยทำตก/โดนน้ำ) อะไหล่ข้างในมีปัญหา: เช่น ชิปควบคุมการชาร์จ
ปฏิบัติการ "กู้ชีพแบตมือถือ" (ลองตามนี้ทีละสเต็ปนะ! ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม)
สำคัญมาก: ค่อยๆ ลองทำทีละข้อนะครับ ถ้าหายก็จบตรงนั้นเลย!
Step 1: เช็ค "คู่หูชาร์จ" (สาย & หัวชาร์จ) - นี่คือจำเลยที่ 1 เสมอ!
ลองเปลี่ยน "สายชาร์จ" เส้นอื่นก่อนเลย: เอาสายเส้นใหม่ หรือเส้นที่มั่นใจว่ายังใช้งานได้ดี (และเป็นของแท้/ได้มาตรฐาน) มาลองเสียบแทน
iPhone (Lightning): ต้องเป็นสายแท้ หรือสายที่ได้มาตรฐาน "MFi Certified" (Made for iPhone/iPad/iPod) เท่านั้น! สายปลอมถูกๆ เสี่ยงทำเครื่องพัง แถม iOS อาจจะไม่ให้ชาร์จด้วย
Android (USB-C / Micro-USB): ลองใช้สายที่มากับเครื่อง หรือสายจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
ถ้าใช้ "ชาร์จเร็ว" (Fast Charging): สายก็ต้องรองรับด้วยนะ! สายธรรมดาๆ บางเส้นจ่ายไฟแรงๆ ไม่ไหว
ลองเปลี่ยน "หัวชาร์จ" (อะแดปเตอร์) อันอื่น: เอาหัวชาร์จอันอื่นที่มั่นใจว่าดี และ วัตต์ (W) เหมาะสมกับมือถือ มาลอง
ลองเปลี่ยน "ปลั๊กไฟ" หรือ "เต้ารับ": บางทีปลั๊กผนังที่เราเสียบอาจจะหลวมหรือเสีย ลองย้ายไปเสียบปลั๊กอื่นดู
(ถ้าเปลี่ยนสาย/หัวชาร์จแล้วไฟเข้า...โล่งอก! ปัญหาอยู่ที่อุปกรณ์ชาร์จของเรานี่เอง หาซื้อใหม่ได้เลย)
Step 2: ส่อง & แคะ (เบาๆ นะ!) "รูชาร์จ" ที่มือถือ (ทำความสะอาดหน่อย!)
ปัญหาคลาสสิกที่คนมองข้าม! เอาไฟฉายส่องดูในรูเสียบ Lightning หรือ USB-C ที่ตัวมือถือดีๆ ครับ บ่อยครั้งเลยที่จะเจอ ขุยผ้าจากกระเป๋ากางเกง, ฝุ่น, หรือเศษขนต่างๆ อัดแน่นอยู่ข้างใน ทำให้เสียบสายชาร์จเข้าไปไม่สุด หรือหน้าสัมผัสไม่ดี
วิธีทำความสะอาด (ต้องใจเย็น และเบามือสุดๆ):
ดีที่สุด: ใช้ ลมเป่าแรงๆ (เช่น ที่เป่าลมทำความสะอาดกล้อง/คีย์บอร์ด) เป่าเข้าไปไล่ฝุ่นออก
รองลงมา: ใช้ แปรงเล็กๆ ขนนุ่มๆ ที่แห้งและสะอาด (เช่น แปรงทาสีอันเล็กใหม่ๆ, แปรงสีฟันเด็กขนนุ่มที่ไม่ได้ใช้แล้ว) ค่อยๆ ปัดออกมาเบาๆ
ถ้าจำเป็นจริงๆ (และต้องมั่นใจว่ามือเบา): อาจใช้ "ไม้จิ้มฟันไม้" หรือ "พลาสติกแข็งบางๆ" (เช่น ตัดจากบัตรแข็ง) ค่อยๆ เขี่ยเศษที่ติดแน่นออกมา (ห้าม! ใช้โลหะ เช่น เข็ม, คลิปหนีบกระดาษ แคะเด็ดขาด! เดี๋ยวพินข้างในงอหรือช็อต งานเข้าหนักกว่าเดิม! -
ห้าม! ใช้ของเหลว หรือ สเปรย์ใดๆ ฉีดเข้าไปในพอร์ตเด็ดขาด!
Step 3: "ปลุก" น้องมือถือ (ลองรีสตาร์ทดูก่อน)
บางทีมือถือเราแค่อาจจะ "มึนๆ" หรือซอฟต์แวร์รวนชั่วคราว:
ลอง "รีสตาร์ท" (Restart) เครื่องดูก่อนเลยครับ: เป็นวิธีแก้ปัญหาพื้นฐานที่เวิร์คบ่อยอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้ารีสตาร์ทธรรมดาไม่ได้ หรือเครื่องค้าง: อาจจะต้อง "บังคับรีสตาร์ท" (Force Restart) ซึ่งวิธีจะต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ/รุ่น:
iPhone (ส่วนใหญ่): กดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ที (ปล่อย) > กดปุ่มลดเสียง 1 ที (ปล่อย) > จากนั้นกดปุ่ม Power ด้านข้างค้างไว้จนเห็นโลโก้ Apple ขึ้นมา
iPhone (รุ่นเก่ามีปุ่มโฮม): กดปุ่ม Power + ปุ่มโฮม ค้างไว้พร้อมกันจนโลโก้ Apple ขึ้นมา
Android: ส่วนใหญ่มักจะเป็นการกด ปุ่ม Power + ปุ่มลดเสียง ค้างไว้พร้อมกันนานๆ (10-15 วินาที) จนเครื่องสั่นหรือรีสตาร์ท (บางยี่ห้ออาจมีวิธีต่างไปเล็กน้อย ลองค้นหา "วิธี Force Restart [ชื่อรุ่นมือถือของคุณ]" ดูครับ
Step 4: เครื่องร้อน/เย็นเกินไปไหม?
มือถือสมัยใหม่มีระบบป้องกันตัวเองครับ ถ้าเครื่อง ร้อนจัด (เช่น เล่นเกมหนักๆ กลางแดด) หรือ เย็นจัด (เช่น เพิ่งออกมาจากห้องแอร์เย็นเจี๊ยบแล้วไปเจออากาศร้อนทันที) ระบบอาจจะ ตัดการชาร์จชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของแบตเตอรี่
วิธีแก้: วางเครื่องทิ้งไว้ในที่อุณหภูมิห้องปกติสักพัก ให้เครื่องเย็นลงหรืออุ่นขึ้น แล้วค่อยลองเสียบชาร์จใหม่
Step 5: เช็ค "Software" & "Settings"
มี Software Update ไหม?: เข้าไปที่ Settings (การตั้งค่า) > Software Update (รายการอัปเดตซอฟต์แวร์) ดูว่ามี iOS หรือ Android เวอร์ชันใหม่ให้อัปเดตหรือเปล่า บางทีการอัปเดตก็ช่วยแก้ Bug แปลกๆ ได้
ดู Setting แบตเตอรี่:
iPhone: เข้า Settings > Battery (แบตเตอรี่) > Battery Health & Charging (สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ) > ดูว่า "Optimized Battery Charging" (การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่) เปิดอยู่ไหม ฟีเจอร์นี้จะชาร์จถึง 80% เร็ว แล้วค่อยๆ ชะลอการชาร์จช่วงท้าย อาจทำให้ดูเหมือนไม่เต็ม 100% เร็วๆ (แต่ปกติไม่ควรทำให้ชาร์จไม่เข้าเลย)
Android: อาจมีฟีเจอร์คล้ายๆ กัน เช่น "Adaptive Charging" หรือโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุด (Ultra Power Saving Mode) ที่อาจจำกัดการชาร์จ ลองตรวจสอบดูครับ
Step 6: (ถ้ายังไม่ท้อ) ลอง "รีเซ็ตการตั้งค่า" (ไม่ลบข้อมูลนะ! สบายใจได้)
วิธีนี้จะ คืนค่า Settings ต่างๆ ของเครื่อง (เช่น Wi-Fi, Bluetooth, หน้าจอ, เสียง) ให้กลับไปเป็นค่าเริ่มต้น แต่! ไม่ลบแอปฯ, รูป, เพลง, หรือข้อมูลส่วนตัวของคุณ
iPhone: Settings (ตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Transfer or Reset iPhone (ถ่ายโอนหรือรีเซ็ต iPhone) > Reset (รีเซ็ต) > Reset All Settings (รีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมด)
Android: Settings (การตั้งค่า) > System (ระบบ) หรือ General management (การจัดการทั่วไป) > Reset (รีเซ็ต) > อาจจะมีตัวเลือก "Reset network settings", "Reset app preferences", หรือ "Reset all settings" (คำอาจจะต่างกันไปตามยี่ห้อ ลองเลือกอันที่ใกล้เคียงที่สุด ระวังอย่าไปกด Factory Reset หรือ Erase all data นะครับ!)
ถ้าทำหมดทุกอย่างแล้ว...ยังนิ่งสนิท? ถึงคราว "ช่าง" แล้วล่ะ
ถ้าคุณลองทุกสเต็ปที่เราแนะนำแล้ว มือถือก็ยังคงชาร์จไม่เข้าเหมือนเดิม หรือคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้:
️ รูชาร์จที่ตัวเครื่องดูหลวม, โยกเยก, หรือมีรอยไหม้/เสียหายชัดเจน
️ ตัวเครื่อง/แบตเตอรี่ "บวม" ผิดปกติ! (อันตรายมาก! หยุดใช้งานทันที!)
️ เคยทำมือถือตกน้ำ หรือตกกระแทกแรงๆ มาก่อนหน้านี้
️ เสียบชาร์จแล้วเครื่องร้อนจัดผิดปกติ หรือมีกลิ่นไหม้
️ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพชัดเจน (เช่น ชาร์จเต็มเร็วมาก แต่ก็หมดไวมากผิดปกติ)
ถึงเวลาพาไปหาผู้เชี่ยวชาญแล้วครับ:
iPhone: นำเครื่องไปที่ Apple Store (Iconsiam / CentralWorld) หรือศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Apple (AASP) เช่น iCare จะดีที่สุด
Android: ติดต่อ ศูนย์บริการของแบรนด์มือถือที่คุณใช้โดยตรง หรือร้านซ่อมมือถือที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และมีช่างที่มีประสบการณ์ (เช็ครีวิวร้านดีๆ ก่อนส่งซ่อม)
ป้องกันไว้ดีกว่า (จะได้ไม่เจอปัญหาชาร์จไม่เข้าบ่อยๆ)
ใช้ สายชาร์จและหัวชาร์จ "ของแท้" หรือ "ที่ได้มาตรฐาน" เสมอ (iPhone เลือก MFi Certified, Android เลือกแบรนด์ดีๆ มี มอก.)
อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยง (0%) บ่อยๆ ชาร์จเมื่อเหลือสัก 20-30% ก็ได้
อย่าทำมือถือตก กระแทก หรือโดนน้ำบ่อยๆ
อย่าทิ้งมือถือไว้ในที่ร้อนจัด (เช่น ในรถตากแดด) หรือเย็นจัดเกินไป
หมั่นทำความสะอาดรูชาร์จเบาๆ บ้าง ด้วยลมเป่าหรือแปรงนุ่มๆ
บทสรุป: มือถือชาร์จไม่เข้า...ส่วนใหญ่แก้ได้เอง ไม่ต้องรีบซื้อใหม่!
ปัญหามือถือชาร์จไม่เข้า แม้จะดูน่าตกใจ แต่ ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุง่ายๆ ที่เราแก้ไขเองได้ อย่างสายชาร์จ, หัวชาร์จ, พอร์ตสกปรก, หรือแค่ซอฟต์แวร์รวนชั่วคราว ลองใจเย็นๆ ไล่เช็คตามขั้นตอนง่ายๆ ที่เราแนะนำดูก่อนนะครับ
แต่ถ้าเจอ สัญญาณอันตราย (โดยเฉพาะแบตบวม!) หรือลองแก้ทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผลจริงๆ การนำเครื่องไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ตรวจเช็ค คือทางออกที่ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณและมือถือสุดรักของคุณครับ ขอให้โชคดี กู้ชีพน้องมือถือสำเร็จนะครับ!