แชร์

เทคโนโลยี PD คืออะไร?

อัพเดทล่าสุด: 8 พ.ค. 2025
24 ผู้เข้าชม

เดี๋ยวนี้เวลาเราจะซื้อหัวชาร์จ หรือดูสเปกมือถือรุ่นใหม่ๆ มักจะเห็นคำว่า "PD Charger" หรือ "รองรับชาร์จเร็ว PD" โผล่มาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? แล้วก็มักจะโฆษณาว่า "ชาร์จไวเว่อร์!" "แบตเต็มเร็วทันใจ!" แต่เคยสงสัยไหมครับว่า ไอ้เจ้า "PD" เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงทำให้ชาร์จมือถือเราได้เร็วปานสายฟ้าฟาดขนาดนั้น?

ไม่ต้องงงอีกต่อไป! ในฐานะ คนที่คลุกคลีกับเทคโนโลยีชาร์จมือถือมานาน วันนี้เราจะมาอธิบายเรื่อง "PD Charger" แบบบ้านๆ ภาษาเพื่อนคุยกัน ให้คุณเข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันคืออะไร? ดีกว่าชาร์จแบบเก่าๆ ยังไง? แล้วถ้าอยากใช้ต้องมีอะไรบ้าง? รับรองว่าข้อมูล ถูกต้อง เชื่อถือได้ เอาไปเลือกซื้อหัวชาร์จครั้งหน้าได้แบบโปรๆ เลยครับ!

PD ย่อมาจากอะไร? (แล้วมันต่างจากชาร์จธรรมดายังไง?)

PD = Power Delivery (อ่านว่า เพา-เวอร์ เด-ลิ-เวอ-รี่)
มันคือ "มาตรฐานกลาง" ในการชาร์จเร็วแบบใหม่: คิดภาพง่ายๆ เหมือนเป็น "ภาษากลาง" ที่อุปกรณ์ต่างๆ (มือถือ, แท็บเล็ต, โน้ตบุ๊ก) กับหัวชาร์จ ใช้คุยกันเพื่อจ่ายไฟให้กันได้แบบแรงๆ และปลอดภัย

ต่างจากชาร์จ USB แบบเก่าลิบลับ:
ชาร์จ USB เก่าๆ (หัว USB-A สี่เหลี่ยม): เหมือน "ท่อน้ำเล็กๆ" จ่ายไฟได้น้อย (แค่ 5W-10W) ชาร์จมือถือที่รอกันเหงือกแห้ง
ชาร์จ PD: เหมือน "ท่อส่งน้ำดับเพลิงขนาดใหญ่และฉลาด!" จ่ายไฟได้แรงกว่าเยอะมาก (ตั้งแต่ 18W, 20W, 30W, 45W, 65W ไปจนถึง 100W หรือมากกว่านั้นสำหรับโน้ตบุ๊ก!) ทำให้แบตเต็มเร็วขึ้นหลายเท่าตัว

หัวใจสำคัญ: ใช้กับพอร์ต "USB-C" เท่านั้น! เทคโนโลยี PD ส่วนใหญ่ (เกือบ 100%) จะทำงานผ่านพอร์ต USB-C (หัวต่อแบบวงรีเล็กๆ ที่เสียบด้านไหนก็ได้) ทั้งฝั่งหัวชาร์จและฝั่งมือถือ/อุปกรณ์

PD มัน "ฉลาด" ยังไง? (ไม่ใช่แค่จ่ายไฟแรงๆ ดื้อๆ นะ!)

นี่คือความเจ๋งของ PD ที่เหนือกว่าระบบชาร์จเร็วแบบเก่าๆ หรือแบบที่ไม่มีมาตรฐาน:

มัน "คุยกันได้"  ก่อนจะเริ่มชาร์จจริงจัง หัวชาร์จ PD, สายชาร์จที่รองรับ PD, และตัวมือถือ/อุปกรณ์ที่รองรับ PD มันจะ "คุย" หรือ "ต่อรอง" กันก่อนว่า "นายรับไฟได้สูงสุดเท่าไหร่?" "ฉันจ่ายไหวแค่ไหน?" "สายเส้นนี้ส่งไฟแรงๆ ได้ไหม?"

จ่ายไฟตามความเหมาะสม: เมื่อตกลงกันได้แล้ว หัวชาร์จ PD ถึงจะจ่ายกำลังไฟ (วัตต์) ที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดให้กับอุปกรณ์นั้นๆ

ปลอดภัยกว่าเยอะ: การที่มัน "คุยกัน" นี่แหละครับ ทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องจ่ายไฟเกินกำลัง จนเครื่องร้อนจัด หรือแบตเตอรี่เสียหาย ซึ่งต่างจากหัวชาร์จถูกๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่อาจจะพยายาม "อัด" ไฟแรงๆ เข้าไปอย่างเดียว

ข้อดี "เด็ดๆ" ของระบบชาร์จ PD (ทำไมใครๆ ก็ใช้กัน?) ชาร์จ "เร็วเว่อร์!": ประหยัดเวลาชีวิตไปได้เยอะมาก! เช่น ชาร์จ iPhone หรือมือถือ Android ที่รองรับ PD จาก 0% ถึง 50% อาจใช้เวลาแค่ประมาณ 30 นาที! (เทียบกับชาร์จปกติที่อาจใช้เวลาเป็นชั่วโมง)

"หัวเดียวเที่ยวทั่วไทย" (และทั่วโลก!): ถ้าคุณมี หัวชาร์จ PD ดีๆ ที่วัตต์สูงๆ (เช่น 65W ขึ้นไป) อันเดียว อาจจะใช้ชาร์จได้ทั้งมือถือ, แท็บเล็ต, หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กบางรุ่นที่รองรับการชาร์จผ่าน USB-C ได้เลย! (แต่ต้องดูว่า W ของหัวชาร์จ พอสำหรับโน้ตบุ๊กไหมนะ) ลดการพกหัวชาร์จหลายอันได้เยอะ
"ปลอดภัย" กว่า (ถ้าใช้ของดีมีมาตรฐาน): อย่างที่บอกไป เพราะมัน "คุยกัน" ก่อนจ่ายไฟ และมักจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยต่างๆ ในตัว
กำลังจะเป็น "มาตรฐานโลก": หลายๆ ประเทศ (โดยเฉพาะในยุโรป) เริ่มบังคับให้ใช้อุปกรณ์ชาร์จเป็น USB-C และรองรับ PD มากขึ้น เพื่อลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และให้ผู้บริโภคสะดวกขึ้น

อยากใช้ชาร์จเร็ว PD ต้องมีอะไรบ้าง?

การจะสัมผัสความเร็วระดับ PD ได้นั้น ต้องมีครบทั้ง 3 อย่างนี้นะครับ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้!

1. "มือถือ/อุปกรณ์" ของคุณต้องรองรับ PD:
iPhone: ตั้งแต่ iPhone 8 ขึ้นไป รองรับชาร์จเร็ว PD (แต่ Apple ไม่แถมหัวชาร์จ PD มาในกล่องนะ ต้องซื้อแยก)
Android: รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่รองรับ PD (เช่น Samsung Galaxy S/A รุ่นใหม่ๆ) แต่ต้อง เช็คสเปกเครื่องของคุณให้ชัวร์ ว่ารองรับ "USB Power Delivery" หรือไม่ และรับได้กี่วัตต์
2. "หัวชาร์จ" (Adapter) ต้องเป็นแบบ PD:
ดูที่ตัวหัวชาร์จเลยครับ: ส่วนใหญ่จะพิมพ์คำว่า "PD", "Power Delivery" หรือสัญลักษณ์ USB-C PD ไว้ชัดเจน
ช่องเสียบที่หัวชาร์จ มักจะเป็น "USB-C" (ไม่ใช่ USB-A สี่เหลี่ยมแบบเก่า)
กำลังไฟ (Watt - W): จะมีระบุไว้ เช่น 20W, 25W, 30W, 45W, 65W, 100W (เลือกให้เหมาะกับมือถือเรา)
3. "สายชาร์จ" ก็ต้องรองรับ PD และกำลังไฟนั้นๆ ด้วย!:
ถ้าหัวชาร์จเป็น USB-C มือถือเป็น USB-C: ต้องใช้สาย "USB-C to USB-C"
ถ้าหัวชาร์จเป็น USB-C มือถือเป็น Lightning (iPhone): ต้องใช้สาย "USB-C to Lightning" (แนะนำให้เป็นสายแท้ Apple หรือที่ได้มาตรฐาน MFi - Made for iPhone/iPad/iPod)
คุณภาพสายสำคัญมาก! สายต้องมีคุณภาพดีพอที่จะนำส่งกำลังไฟสูงๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะถ้าชาร์จไฟเกิน 60W หรือกระแสไฟสูงๆ (3A ขึ้นไป) สาย USB-C to C ควรจะมีชิป E-Marker เพื่อการสื่อสารและการจ่ายไฟที่ถูกต้องและปลอดภัย สายราคาถูกคุณภาพต่ำ อาจทำให้ชาร์จ PD ไม่ติด หรือชาร์จช้าได้

ข้อควรรู้ & คำแนะนำเพิ่มเติม

ไม่ใช่ PD ทุกตัวจะเร็วเท่ากันเป๊ะๆ: หัวชาร์จ PD 20W ก็ชาร์จเร็วกว่าหัวชาร์จ 5W ธรรมดาเยอะ แต่ก็จะช้ากว่าหัวชาร์จ PD 65W (ถ้ามือถือของเรารองรับถึง 65W นะ)
มือถือจะ "ดึงไฟ" เท่าที่ตัวเองรับไหว: ไม่ต้องกลัวว่าเอาหัวชาร์จ PD 100W มาชาร์จมือถือที่รับได้แค่ 25W แล้วเครื่องจะพังครับ! มือถือมัน "ฉลาด" พอที่จะดึงไฟไปใช้แค่ 25W เท่านั้น (ตราบใดที่หัวชาร์จและสายมีคุณภาพและได้มาตรฐาน)
อย่าลืม "มอก." บนหัวชาร์จ: เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานในประเทศไทย หัวชาร์จที่ได้มาตรฐานควรมีเครื่องหมาย มอก. (TISI) รับรองด้วยนะครับ
สายคุณภาพต่ำ / ของปลอม / ไม่ได้มาตรฐาน: อันตราย! อาจทำให้ชาร์จ PD ไม่ติด, ชาร์จช้า, ร้อนจัด, หรือทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ ยอมจ่ายแพงกว่านิดหน่อย เลือกของดีมีคุณภาพ ปลอดภัยกว่าเยอะครับ
บทสรุป: PD Charger เพื่อนซี้มือถือยุคใหม่ ชาร์จไว ปลอดภัย ใช่เลย!

ระบบชาร์จ PD (Power Delivery) คือเทคโนโลยีที่มาเปลี่ยนโลกการชาร์จมือถือและอุปกรณ์ต่างๆ ให้ เร็วขึ้น, สะดวกขึ้น (หัวเดียวอาจชาร์จได้หลายอย่าง), และปลอดภัยขึ้น อย่างแท้จริง มันกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานหลักที่เราจะเจอในอุปกรณ์แทบทุกชนิด

แค่คุณมั่นใจว่า มือถือ + หัวชาร์จ + สายชาร์จ ทั้ง 3 อย่าง "รองรับ PD" และ "คุยภาษาเดียวกัน" คุณก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ชาร์จไวที่ช่วยประหยัดเวลาในชีวิตประจำวันไปได้เยอะเลยครับ! เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อความสุขและความปลอดภัยในการใช้งานนะครับ!


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ